เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่มีความสำคัญและมีผลกระทบต่อโลกหรือสังคมในยุคหนึ่ง นี่คือตัวอย่างของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญ
เหตุการณ์ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงเพื่อตัวอย่างเล็กน้อยเท่านั้น มีเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มากมายที่เกิดขึ้นในอดีตที่สร้างผลกระทบต่อสังคมและโลกในปัจจุบันอย่างใกล้ชิด การศึกษาประวัติศาสตร์ช่วยให้เราเข้าใจวิถีชีวิตและความเปลี่ยนแปลงของมนุษย์และสังคมในปัจจุบัน
สงครามช้างเผือก (อังกฤษ: War of the White Elephants) เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในประเทศสยาม (ประเทศไทยในปัจจุบัน) ในช่วงปี พ.ศ. 2363 (ค.ศ. 1820) คือช่วงระหว่างรัชกาลพระนเรศวรมหาราช (รัชกาลที่ 3 ของกรุงรัตนโกสินทร์) และพระนารายณ์ศรีสวางควัฒน์ (รัชกาลที่ 4 ของกรุงรัตนโกสินทร์) ซึ่งเป็นสงครามที่เกิดขึ้นเพื่อควบคุมเมืองลาว (ประเทศลาวในปัจจุบัน) และทรัพย์สินควบคุมของลาวที่มีค่าเช่น ช้างเผือก.
ความขัดแย้งในสงครามช้างเผือกเกิดขึ้นเนื่องจากความขัดแย้งในทางการค้าและเสียสละของเชิงเทศน์ของกรุงรัตนโกสินทร์ที่ต้องการควบคุมลาวและช้างเผือกที่มีค่ามากในขณะนั้นเพื่อนำมาเสริมสร้างกองทัพและพลังงานในการทำสงครามของมหาอำนาจและชนชั้นสูงในสยาม นอกจากนี้ยังมีสิทธิและแขนงการค้าที่แยกตัวจากกันอย่างเข้มงวดซึ่งส่งผลให้เกิดการขัดแย้งทางเศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าว
เหตุการณ์สงครามช้างเผือกส่งผลให้กรุงรัตนโกสินทร์ได้ครองเมืองลาว และช้างเผือกที่มีค่าหายไปเป็นจำนวนมาก สงครามช้างเผือกเป็นตัวอย่างของการขัดแย้งเกี่ยวกับทรัพย์สินและเสียสละทางเชิงเทศน์ที่เกิดขึ้นในประเทศในช่วงของสมัยโบราณ
ดินแดนของกษัตริย์ Tabin Shwe Ti ได้รับการปกป้องโดยอดีต Mons ที่แย่งชิงบัลลังก์ เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าหงสาวดียกทัพปราบประชาชนดังต่อไปนี้ นำทัพสู่จังหวัดภาคเหนือ ผ่านด่านแม่ละเมา เข้าโจมตีพิษณุโลก คณะเฉพาะกิจธรรมราชาต้องสาบานตนในหมู่ตระกูลหงษ์สาว สมเด็จพระมหาจักรพรรดิยุติสงครามกับพระเจ้าบุเรงนอง จากการฝึกเราต้องอุทิศ 4 สายให้พระเจ้าหงสาวดี ภาษีช้างประจำปี 30 ภาษีเงินได้ประจำปี 300 ภาษีเงินได้ และภาษีเงินได้ชั่งน้ำหนัก และรวบรวมพระราเมศวร พระยาจักรี และพระสุนทร ศึกมาถึงหงสาวดี บุรินทร์นนท์ เยือนพิษณุโลก ทูลขอสมเด็จพระนเรศวร ๙ พรรษา ทรงสนับสนุนหงสาวดีต่อไป
สงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง (อังกฤษ: First Fall of Ayutthaya) เป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในประเทศสยาม (ประเทศไทยในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2310 (ค.ศ. 1767) ในช่วงรัชกาลพระเจ้าอาทิตย์ (รัชกาลที่ 6 ของกรุงศรีอยุธยา) สงครามนี้มีสาเหตุเกิดจากการโจมตีของกองทัพพม่าที่เมืองพม่าใต้ (อยู่ทางตอนใต้ของกรุงศรีอยุธยา) ซึ่งได้รับความสนับสนุนจากจีน มุมัวของพม่าก่อการณ์เพื่อควบคุมเมืองกรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นกรุงหลวงที่มีความเจริญรุ่งเรืองในยุคนั้น.
เมื่อกองทัพพม่าโจมตีเสียกรุงศรีอยุธยา เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในสมัยรัตนโกสินทร์ หลักฐาน ต้องการควบคุมการค้าที่เศรษฐกิจกรุงศรีอยุธยาครอบครอง และทรัพยากรที่มีค่าของประเทศสยาม สงครามนี้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและราวกับพังค์ของกองทัพพม่าเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา
เนื่องจากกรุงศรีอยุธยามีความเข้มแข็งและแค้นระบาดของกองทัพไทยที่ประท้วงราชสถานของพม่า กองทัพพม่าจึงลอบโจมตีกรุงศรีอยุธยาตอนกลางคืนที่เป็นช่วงค่ำคืบวัน นำไปสู่การครองกรุงศรีอยุธยาจากกองทัพพม่า ทำให้กรุงศรีอยุธยาถูกพังทลายอย่างรุนแรง และราชสำนักก็ถูกยุบยับ ซึ่งสำนักงานเชิงสถานและส่วนสำคัญของรัฐบาลก็ถูกเบี่ยงในสงครามครั้งนี้ พิธีเปิดสมรภูมิพระเจ้ามหาจักรีท่วมท้นเมืองเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบพันธมิตรกับพระเจ้าชัยเศรษฐาธิราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง มหาธรรมราชา ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก พระรัตนราย ทูลขอให้พระเจ้าชัยเศรษฐาธิราชส่งกำลังตรวจสอบไปยังพิษณุโลก แต่อย่าลืมโหลด Dharmaracha สามารถปกป้องเมือง เหตุการณ์ ทาง ประวัติศาสตร์ พระเจ้าบุเรงนองทรงทราบสิ่งที่เกิดขึ้นกับธรรมราชาทุกครั้งในฐานะรัฐมนตรีของพะโค ราชสำนักพิษณุโลกและจังหวัดทางภาคเหนือไม่สามารถพึ่งพากฎหมายระนองได้
หีบธรรมราชากับศิลาพรหมทำให้สุขภาพทรุดโทรม ในปี ค.ศ. 1568 พระเจ้าบุเรงนองนำกองทัพขนาดใหญ่เข้าโจมตีและเอาชนะกองทัพอัมบาแห่งพม่า ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่สามารถกักขังได้เพราะกำลังทหาร BB พยายามป้องกันไม่ให้พม่าสะสมตัวในฤดูน้ำหลาก และไม่สามารถเตรียมการสู้รบใกล้เมืองนั้นได้ บางครั้งจักรพรรดิก็ล้มป่วยแล้วก็ชิบหายที่ 2111 มี 1568 จิ๊กซอว์ปริศนา ในปี ค.ศ. 1568 พระราชินีมารีอินทราธิราชและทรงต่อสู้กับพม่าที่ทรยศเพื่อให้จักรีเข้าไปแทรกแซงในสงครามในขณะนั้น พระองค์ทรงพ่ายแพ้ต่อพม่าในปี พ.ศ. 2112 ตั้งแต่นั้นมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่งส่งผลกระทบให้กรุงศรีอยุธยาล้มละลายและเปลี่ยนเสียกรุงรัตนโกสินทร์เป็นเมืองหลวงในภายหลัง กระทรวงต่างประเทศก็เริ่มเปิดตัวที่กรุงศรีอยุธยา ตามสะพานและการทำธุรกิจก็ถูกตั้งค่าเพื่อทำธุรกิจในยุคของกรุงรัตนโกสินทร์ที่เจริญรุ่งเรือง กรุงรัตนโกสินทร์ยังคงเป็นเมืองหลวงของประเทศสยามไว้จนถึงปัจจุบัน
การประกาศอิสรภาพและยุทธหัตถีคือเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในประเทศสยาม (ประเทศไทยในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1868) ในช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 ของกรุงรัตนโกสินทร์) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในการเสรีภาพและการพัฒนาประเทศ.
การประกาศอิสรภาพ เป็นเหตุการณ์ที่กรุงรัตนโกสินทร์ประกาศอิสระจากการควบคุมของอังกฤษในปี พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1868) นอกจากนี้ยังได้รับความสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและประเทศฝรั่งเศส การประกาศอิสรภาพเป็นการเสรีภาพที่สำคัญในการก่อตั้งรัฐสภาและกฎหมายที่เป็นมิตรต่อประชาชนในประเทศสยาม
ยุทธหัตถี หลังจากการประกาศอิสรภาพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการสั่งสร้างยุทธหัตถีหรือสภาพความสามารถในการป้องกันประเทศ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการฝ่าฝืนของประเทศอื่น ๆ สภาพความสามารถทางทหารนี้นำไปสู่การปรับปรุงกองทัพและกองทัพบกของประเทศในยุคนั้น
การประกาศอิสรภาพและยุทธหัตถีเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในการริเริ่มกระบวนการสร้างรัฐสภาและพัฒนาประเทศในประเทศสยาม อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความขัดแย้งและปัญหาที่ต้องเผชิญหน้าอยู่ในระหว่างการพัฒนาประเทศในยุคนั้น การปรับปรุงทางเศรษฐกิจและการทำงานทางการเมืองยังคงเป็นความท้าทายต่อการเสรีภาพและความเจริญก้าวหน้าของประเทศสยามในปีต่อมา
สงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง (อังกฤษ: Second Fall of Ayutthaya) เป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในประเทศสยาม (ประเทศไทยในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2310-2311 (ค.ศ. 1767-1768) ในช่วงรัชกาลพระเจ้าอาทิตย์ (รัชกาลที่ 6 ของกรุงศรีอยุธยา) ซึ่งเป็นสงครามที่พม่าโจมตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากความขัดแย้งทางการค้าและเสียสละของเชิงเทศน์ที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศสยามและพม่า กองทัพพม่าซึ่งได้รับการส่งเสริมจากจีนได้ทำการโจมตีเมืองภายในของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งต่อมาก็นำไปสู่ความล้มละลายของกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2310 (ค.ศ. 1767) หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาถูกพังค์และควบคุมโดยกองทัพพม่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทีมคณะราชการสำนักงานรัฐบาลได้หนีไปสู่กรุงตัวกอง ณ พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กองทัพพม่าไม่สามารถควบคุมได้
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนากระบวนการป้องกันที่กรุงตัวกอง และในปี พ.ศ. 2311 (ค.ศ. 1768) กองทัพสยามได้ทำการคืบควบคุมคืบควบคุมคืบควบคุมการคืบควบคุมภายในของกองทัพพม่า ซึ่งจบลงด้วยการชนะในสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ที่ส่งผลให้กรุงศรีอยุธยากู้คืบควบคุมการคืบควบคุมการคืบควบคุมในปีนี้ กรุงศรีอยุธยาได้กลับมาเป็นกรุงหลวงอีกครั้ง และกองทัพพม่าถูกขับไล่ออกจากที่นี่ อย่างไรก็ตาม การพ่ายแพ้ในสงครามนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้กรุงศรีอยุธยาสูญเสียสิทธิ์และอำนาจของประเทศสยาม อย่างไรก็ตาม ต่อมาหลังจากนั้นประเทศสยามได้กู้คืบควบคุมภายในของพื้นที่ก่อนหน้านี้ทั้งหมดและกลับคืบควบคุมภายในของกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างเดียว